เมนู

6. อัสสชิสูตร



ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเวทนา



[222 ] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร-
เวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล ท่านพระอัสสชิ
อาพาธเป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา พักอยู่ที่อารามของกัสสปเศรษฐี.
ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเรียกภิกษุผู้อุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า
มาเถิดอาวุโสทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ จงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
เศียรเกล้า ตามคำของเราว่า พระเจ้าข้า อัสสชิภิกษุอาพาธ เป็นไข้หนัก
ได้รับทุกขเวทนา แลท่านทั้งหลายจงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความ
อนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปหาอัสสชิภิกษุถึงที่อยู่เถิด ภิกษุเหล่านั้น
รับคำท่านอัสสชิแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า อัสสชิ
ภิกษุอาพาธ เป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา ท่านถวายบังคมพระยุคลบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า และสั่งมากราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จเข้าไปหาอัสสชิภิกษุถึงที่อยู่เถิด.
[223] ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก
จากที่พัก แล้วเสด็จเข้าไปหาท่านพระอัสสชิถึงที่อยู่ ท่านพระอัสสชิ

ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้วก็ลุกขึ้น
จากเตียง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอัสสชิว่า
อย่าเลย อัสสชิ เธออย่าลุกจากเตียงเลย อาสนะเหล่านี้ที่เขาปูลาดไว้
มีอยู่ เราจักนั่งที่อาสนะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะ
ที่เขาปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสถามท่านพระอัสสชิว่า ดูก่อนอัสสชิ
เธอพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ฯลฯ ทุกขเวทนานั้น
ปรากฏว่าทุเลาลง ไม่กำเริบขึ้นหรือ ท่านพระอัสสชิกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ไม่สามารถจะยัง
อัตภาพให้เป็นไปได้ ฯลฯ ทุกขเวทนานั้นปรากฏว่า กำเริบขึ้น
ไม่ทุเลาลงเลย
ภ. ดูก่อนอัสสชิ เธอไม่มีความรำคาญ ไม่มีความเดือดร้อน
อะไรบ้างหรือ ?
อ. พระเจ้าข้า แท้ที่จริง ข้าพระองค์มีความรำคาญไม่น้อย
มีความเดือดร้อนอยู่ไม่น้อยเลย.
ภ. ดูก่อนอัสสชิ ก็ตัวเธอเองไม่ติเตียนตนเองได้โดยศีลบ้างหรือ ?
อ. พระเจ้าข้า ตัวข้าพระองค์เองจะติเตียนข้าพระองค์เองได้
โดยศีลก็หาไม่.
ภ. ดูก่อนอัสสชิ ถ้าหากว่า ตัวเธอเองติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรำคาญและความเดือดร้อนอะไร ?
ภ. พระเจ้าข้า ในการป่วยครั้งก่อน ข้าพระองค์ระงับ
กายสังขาร (ลมหายใจเข้าออก) (ครั้งนี้ระงับไม่ได้) จึงไม่ได้สมาธิ

เมื่อข้าพระองค์ไม่ได้สมาธิ จึงเกิดความสงสัยอย่างนี้ว่า เราไม่เสื่อม
หรือหนอ.
ภ. ดูก่อนอัสสชิ สมณพราหมณ์ที่มีสมาธิเป็นสาระ มีสมาธิ
เป็นสามัญญะ เมื่อได้สมาธินั้น ย่อมเกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย
ไม่เสื่อมหรือหนอ ดูก่อนอัสสชิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
ภ. เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ฯลฯ ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ถ้า
อริยสาวกนั้นได้เสวยสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่า สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่าเสวยทุกขเวทนา ก็ทราบชัดว่า
ทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน ถ้าหากว่า
เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่าเสวยสุขเวทนา ก็ปราศจาก
ความยินดียินร้าย เสวยสุขเวทนานั้น ถ้าหากว่าเสวยทุกขเวทนา ก็
ปราศจากความยินดียินร้าย เสวยทุกขเวทนานั้น ถ้าหากว่าเสวย
อทุกขมสุขเวทนา ก็ปราศจากความยินดียินร้าย เสวยอทุกขมสุขเวทนา
นั้น ย่อมทราบชัดว่า เวทนานั้น ไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
หากว่าเสวยเวทนา1 มีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกาย
1. เวทนาทางทวารทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

เป็นที่สุด ถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนา1
มีชีวิตเป็นที่สุด ทราบชัดว่า ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตก
ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น.
[224] ดูก่อนอัสสชิ อุปมาเหมือนประทีปน้ำมันจะพึงติดอยู่ได้
เพราะอาศัยน้ำมันและไส้ เชื้อไม่มีก็พึงดับ เพราะหมดน้ำมันและไส้นั้น
ฉันใด ดูก่อนอัสสชิ ภิกษุเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า
เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า
เสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ทราบชัดว่า ก่อนแต่จะสิ้นชีวิต เพราะ
กายแตก ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น.
จบ อัสสชิสูตรที่ 6

อรรถกถาอัสสชิสูตรที่ 6



พึงทราบวินิจฉัยในอัสสชิสูตรที่ 6 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กสฺสปการาเม ได้แก่ ในอารามที่กัสสปเศรษฐี
ให้สร้าง.
บทว่า กายสงฺขาเร ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก.
ก็พระอัสสชินั้น ระงับลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้น
ด้วยจตุตถฌานอยู่. บทว่า เอวํ โหติ ความว่า บัดนี้เมื่อข้าพระองค์
ไม่ได้สมาธินั้น จึงมีความคิดอย่างนี้. บทว่า โน จ ขฺวาหํ ปริหายามิ
1. เวทนาทางใจ